ตั้งแต่สมัยโบราณตอนนั้นมนุษย์เรายังไม่มีในเรื่องน้ำเมาหรือว่าเหล้า ยังมีนายพรานป่าคนหนึ่งซึ่งมีอาชีพในการหาของป่าออกมาขายอยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นายพรานออกไปหาของป่าออกมาขาย อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นายพรานออกไปหาของป่าเป็นประจำดั่งเช่นทุกวันสายตาของเขาเหลือบไปเห็นพวกนกฝูงใหญ่พากันมารุมกินอะไรสักอย่างหนึ่ง บางตัวเมื่อลงไปกินแล้วจะมีอาการดีอกดีใจ บางตัวก็เกิดอาการกระโดดโลดเต้นถึงตกต้นไม้เลยก็มี เป็นที่น่าสงสัยให้กับนายพรานเป็นยิ่งนัก นายพรานจึงปีนขึ้นไปดูง่าข้างบนต้นมะค่าใหญ่ว่ามีอะไร แต่เมื่อนายพรานเห็นดังนั้นก็นึกว่าเมื่อดื่มกินแล้วไม่ตายก็ลองชิมดู รู้สึกมีกลิ่นหอม นายพรานจึงเทน้ำในคอกที่นำมาออกหมด เอาคอกเปล่านั้นตักน้ำในโพรงจนเต็มก็ลงจากต้นมะค่าแล้วเดินทางกลับบ้าน ระหว่างเดินทางกลับบ้านก็รู้สึกหิวน้ำ นายพรานจึงเอาคอกน้ำที่ตัก จากต้นมะค่ามาดื่ม พอดื่มได้สักพักก็รู้สึกมึนเมา มีใจคึกคะนอง อยากจะร้องรำทำเพลงจึงนำเรื่องดังกล่าวไปบอกให้ชาวบ้านทราบ ชาวบ้านจึงพากันไปดูและดื่มน้ำนั้นแล้วพากันเมาไปตามๆกันเป็นที่น่าสงสัยของนายพรานเป็นยิ่งนักว่าเป็นไปได้อย่างไร จึงออกเดินสอดส่องบริเวณใกล้ๆ นั้นก็เจอแต่กอเปา ต้นพริก และใกล้ๆ นั้นก็ยังมีไร่ข้าว พอเสร็จแล้วก็ขึ้นไปดูที่โพรงอีกครั้งในน้ำนั้นมีเมล็ดพริก เม็ดของข่า เมล็ดของข้าว พอเห็นเป็นเช่นนั้น นายพรานก็เลยนำหัวของข่า พริก มาทำแล้วบดให้ละเอียด แล้วนำมาทำเป็นก้อนมาแช่กับข้าวเก็บไว้นานๆ เมื่อชิมดูแล้วก็มีรสชาติเหมือนกับน้ำในโพรงมะค่า ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ชาวบ้านก็เลยมีน้ำเมากินกันอย่างแพร่หลาย และประมาณ 200 ปี ในหมู่บ้านดอนชัยสักทองได้มีการทำหัวเชื้อ (ลูกแป้ง) โดยนำเอาพริก ดีปรี ข่า หอมขาว พริกแห้ง มาตากแห้ง แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำมาโขลกให้ละเอียด ผสมข้าวเหนียวที่แช่แล้วปั้นเป็นลูกกลอน ตากให้แห้งสนิท ถึงจะนำไปหมักกับข้าวเหนียวได้ประมาณ 15 วัน เรียกน้ำที่ได้ว่า “สุดโท” ถ้าจะนำมาดื่มก็ได้ ทุกครัวเรือนทำกันเองและในโอกาสเทศกาลต่างๆ ไม่ได้จำหน่ายแต่อย่างใด